Supplements ตามอาการ
เจ็บเข่า เจ็บข้อ
อาหารเสริมจากธรรมชาติ ตัวช่วยบรรเทาปวดเข่า ข้อ ใครที่กำลังมองหาทางเลือกจากธรรมชาติ เพื่อดูแลอาการ ปวดเข่า ข้อ มีอาหารเสริมหลายชนิดที่น่าสนใจ และ มีงานวิจัยรองรับครับ
อย่าลืมว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือ ยาทา เป็นเพียง ทางเลือกเสริม ไม่สามารถทดแทนการรักษาหลัก หรือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมได้ การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายที่เหมาะสม และ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลสุขภาพ ข้อ เข่า อย่างยั่งยืน ลองดูผลิตภัณฑ์ที่ผมใช้ และ คัดสรร มานะครับ
Supplements ที่ผมเลือกใช้ และ อยากแนะนำ
บอกลา ปวดข้อ ปวดเข่า ข้ออักเสบ ด้วย ขมิ้นชัน • น้ำมันงาดำสกัดเย็น • คอลลาเจน
จากร้อยโล เข่าพัง สู่ทางสว่าง สวัสดีครับ วันนี้ผมอยากมาแชร์ประสบการณ์ตรงๆ ที่ทั้งเจ็บทั้งจำ แต่สุดท้ายก็เจอทางออกดีๆ ครับ เรื่องมันเริ่มจากตอนที่ผมฮึดสู้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เพราะปล่อยตัวจนน้ำหนักพุ่งไปถึง 100 กิโลกรัม ตอนนั้นผมมุ่งมั่นมาก ตั้งใจจะวิ่งเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นให้ได้ ผมเลือกวิธีที่คิดว่าง่าย และ น่าจะเห็นผลเร็วที่สุดคือ การวิ่ง ครับ
จากความหวัง สู่ความทรมาน • จุดเริ่มต้นของปัญหาข้อเข่า
ช่วงแรกที่เริ่มวิ่ง ผมรู้สึกดีใจที่ได้ออกกำลังกาย ได้เหงื่อ แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่มากถึง 100 กิโล ทุกย่างก้าวที่เท้าผมกระแทกลงพื้น มันเหมือนส่งแรงกระแทกหนักๆ ไปที่หัวเข่าทั้งสองข้างโดยตรง ใช้เวลาไม่นานเลยครับ สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น
อาการปวดเข่า มันมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว เริ่มจากปวดนิดๆ หลังวิ่ง แต่ไม่นานก็ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ จนแค่เดินธรรมดาก็ยังรู้สึกเจ็บ เข่าเริ่มมีอาการบวม แตะดูจะรู้สึกอุ่นๆ ร้อนๆ บางครั้งก็มีเสียงลั่นก๊อกแก๊กในข้อจนใจเสีย ตอนเช้านี่หนักเลยครับ เข่าจะตึงเปรี๊ยะ ฝืดแข็งไปหมด ต้องค่อยๆ ยืดเหยียดอยู่นานกว่าจะลุกเดินได้ ตอนนั้นผมรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่แค่อาการเมื่อยล้าธรรมดา แต่มันคือ ภาวะข้อเข่าอักเสบ ที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเกิดจากการที่ผมไปวิ่งทั้งที่น้ำหนักตัวยังเยอะมากนั่นเอง
ผมต้องจำใจหยุดวิ่งทันที ความฝันที่จะผอมด้วยการวิ่งมันสลายไป แถมยังได้โรคปวดเข่าเรื้อรังมาเป็นของขวัญอีก ผมไปหาหมอ คุณหมอก็ยืนยันว่าข้อเข่าผมอักเสบจริงจากการรับน้ำหนักและแรงกระแทกที่มากเกินไป คุณหมอให้ยาแก้ปวดลดอักเสบมากิน มันก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ชั่วคราวนะครับ แต่พอยาหมดฤทธิ์ อาการปวดก็กลับมาอีก ผมไม่อยากต้องกินยาแบบนี้ไปตลอดชีวิตจริงๆ ครับ กลัวผลเสียระยะยาวที่จะตามมา
ค้นหาทางออกใหม่ เมื่อยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย • ทำไมผมถึงเลือก กิน และ ไม่เอาสูตรฮิตบางตัว
เมื่อการวิ่งมันทำร้ายเข่าผม และ ยาแก้ปวดก็ช่วยแค่บรรเทาอาการชั่วคราว ผมจึงเริ่มคิดอย่างจริงจังว่าต้องหาทางอื่นที่จะช่วย ลดการอักเสบจากต้นตอ และ ช่วย ฟื้นฟูข้อเข่า ของผมให้กลับมาดีขึ้นได้ ผมตั้งใจว่าจะเน้น วิธีธรรมชาติ ที่ปลอดภัยกับร่างกายมากที่สุดครับ เพราะผมอยากดูแลตัวเองในระยะยาว
ผมใช้เวลาศึกษาข้อมูลเยอะมากครับ ทั้งอ่านบทความสุขภาพ ดูคลิปสัมภาษณ์คุณหมอ และ ได้เรียนรู้ว่า การอักเสบ นี่แหละคือหัวใจสำคัญของปัญหาข้อเข่าของผม และ โชคดีมากๆ ที่ในธรรมชาติมีตัวช่วยลดการอักเสบ และ บำรุงข้อต่อได้จริงอยู่ ซึ่งมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับด้วย ไม่ใช่แค่คำบอกเล่าต่อๆ กันมา
ตอนนั้น ผมก็เห็นนะครับว่ามีทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบกิน และ พวกยาใช้ภายนอกอย่าง ครีมทา หรือ สเปรย์พ่น แก้ปวดเข่า ซึ่งพวกยาทา ยาพ่น มันก็อาจจะช่วยบรรเทาอาการปวดเฉพาะหน้าได้เร็วดีนะครับ แต่สำหรับผม ผมมองว่าอาการปวดเข่าของผมมันเกิดจาก การอักเสบ ข้างในข้อ และ อาจจะรวมถึง กระดูกอ่อน ที่เริ่มมีปัญหาจากการใช้งานหนัก ผมเลยอยากได้อะไรที่มันเข้าไป ดูแลจากข้างใน มากกว่าครับ
ผมเชื่อว่าการ ทาน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากธรรมชาติ มันน่าจะเข้าไปช่วย ลดการอักเสบที่ต้นเหตุ และ บำรุงฟื้นฟูโครงสร้างข้อต่อ ได้ตรงจุดกว่าการทาแค่ภายนอกที่อาจจะช่วยแค่ระงับปวดชั่วคราว ผมอยากได้ผลลัพธ์ที่มันยั่งยืนกว่า และ เป็นการแก้ปัญหาที่รากฐานจริงๆ ไม่ใช่แค่บรรเทาอาการที่ปลายเหตุครับ นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ผมมุ่งเน้นไปที่การหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบบกิน เป็นหลักครับ
แต่ผมก็ไม่ได้มองว่ายาทาหรือยาพ่นไม่ดีนะครับ จริงๆ แล้ว สำหรับเพื่อนๆ บางคนที่อาจจะไม่ชอบทานยาหรืออาหารเสริม หรือในวันที่อาการปวดมันกำเริบหนักๆ ขึ้นมาเฉพาะหน้า ยาทาหรือยาพ่นก็ถือเป็น ตัวช่วยแก้ขัด ที่ดีมากเลยทีเดียว หลักการทำงานของพวกนี้คือ ตัวยาสำคัญ (เช่น ยาแก้ปวดลดอักเสบ หรือสารสกัดจากธรรมชาติบางชนิด อย่าง พริก หรือแม้แต่น้ำมันงาที่ผมศึกษามาก็มีงานวิจัยว่าใช้ทาได้ผลดีเหมือนกัน) มันจะซึมผ่านผิวหนังเข้าไปออกฤทธิ์ เฉพาะที่ บริเวณที่เราทาหรือพ่นครับ มันอาจจะช่วยลดการอักเสบ หรือไปบล็อกสัญญาณความเจ็บปวดตรงนั้น ทำให้เรารู้สึกปวดน้อยลงได้ค่อนข้างเร็ว เหมาะสำหรับใช้บรรเทาอาการแบบเร่งด่วน หรือใช้เสริมกับการดูแลจากภายในด้วยการทานอาหารเสริมก็ได้ครับ เพียงแต่ต้องเข้าใจว่ามันอาจจะไม่ได้เข้าไปแก้ปัญหาที่โครงสร้างข้อหรือการอักเสบเรื้อรังในระยะยาวเหมือนกับการดูแลจากภายในนั่นเองครับ
ทีนี้ พอผมมุ่งมาที่อาหารเสริมแบบกิน ผมก็เจอข้อมูลของพวก กลูโคซามีน (Glucosamine), คอนดรอยติน (Chondroitin), และ เอ็มเอสเอ็ม (MSM) ซึ่งเป็นสูตรที่คนพูดถึงกันเยอะมากจริงๆ ครับ เพื่อนๆ หลายคนก็แนะนำ แต่พอผมใช้เวลาศึกษาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียด ผมกลับพบเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมตัดสินใจยังไม่เลือกใช้สูตรเหล่านี้ในตอนนั้นครับ:
สำหรับ กลูโคซามีน กับ คอนดรอยติน: ผมพบว่าผลการวิจัยมัน ยังไม่ค่อยแน่นอน ครับ บางงานวิจัยก็บอกว่าช่วยลดปวดได้ดี แต่หลายๆ งานวิจัยใหญ่ๆ ที่น่าเชื่อถือ กลับบอกว่าผลที่ได้มันน้อยมาก หรือแทบไม่ต่างจากไม่ได้กินอะไรเลย ผลลัพธ์มันยังดู ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง มากครับ เช่น ต้องเป็นชนิดเกลือซัลเฟต หรือต้องเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงจริงๆ ซึ่งผมมองว่ามัน วัดผลยาก และ มีความเสี่ยง เกินไปสำหรับผม ไหนจะเรื่อง ผลข้างเคียง กับคนที่แพ้อาหารทะเล หรือคนที่กินยาละลายลิ่มเลือดบางตัว (อย่างวาร์ฟาริน) ที่มีรายงานว่าอาจจะมีปัญหากันได้ (ซึ่งเรื่องยาตีกันนี่ต้องปรึกษาหมอให้ดีเลยนะครับ) ด้วยความไม่แน่นอนเหล่านี้ ผมเลยคิดว่าขอผ่านไปหาตัวเลือกที่ข้อมูลชัดเจนและน่าเชื่อถือกว่านี้ก่อนดีกว่าครับ
ส่วน เอ็มเอสเอ็ม (MSM): ตัวนี้มีข้อมูลว่าช่วยลดอักเสบได้ แต่ผลการศึกษาส่วนใหญ่ก็ยังดู ไม่ชัดเจน เท่าที่ควร คืออาจจะช่วยได้บ้าง แต่ยังไม่มีข้อสรุปที่แข็งแรงพอว่ามันช่วยได้มากน้อยแค่ไหน หรือต้องกินปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเห็นผล เมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นที่ผมกำลังศึกษา ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุนที่ดูหนักแน่นและสอดคล้องกันมากกว่า ผมเลยคิดว่าขอเลือกตัวที่ผมมั่นใจในข้อมูลมากกว่าก่อนดีกว่าครับ
การที่ผมได้ศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบแบบนี้ ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นในการเลือกทางเดินของตัวเองครับ ผมตัดสินใจมองหาทางเลือก แบบกิน อื่นๆ ที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับที่ชัดเจน และ น่าเชื่อถือ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมได้มาเจอกับ 3 ผู้ช่วยจากธรรมชาติที่ผมอยากจะแนะนำจริงๆ ครับ

การเดินทางสู่การฟื้นฟูข้อเข่า • 3 ผู้ช่วยธรรมชาติ ที่ผมลองแล้วเวิร์ค
จากการศึกษาและทดลองด้วยตัวเอง ผมได้พบกับ 3 ทหารเสือจากธรรมชาติ ที่ผมเชื่อว่ามีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้อาการข้อเข่าอักเสบ และ อาการปวดของผมดีขึ้นได้จริง ซึ่งผมอยากจะแชร์ให้ทุกท่านได้รู้กัน พร้อมกับเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้เรียนรู้มาครับ
1. ขมิ้นชัน (แบบแคปซูล)
ทำไมผมถึงเลือกขมิ้นชัน เพราะผมคุ้นเคยกับขมิ้นชันมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่ดี มีสรรพคุณเยอะ และ พอมาศึกษาเพิ่มก็พบว่า สารสำคัญสีเหลืองทอง ในขมิ้นชัน (ที่ทางการแพทย์เรียกว่า เคอร์คูมิน) มีงานวิจัยมากมายบอกว่าช่วย ลดการอักเสบ ได้ดี ซึ่งตรงกับปัญหาข้ออักเสบของผมเลยครับ ผมเลือกแบบแคปซูลเพราะสะดวกดี และ รู้สึกว่าเป็นการทานสมุนไพรแบบใกล้เคียงธรรมชาติ
เรื่องการดูดซึมที่ต้องรู้ (และ เคล็ดลับพริกไทยดำ) ผมก็ทราบมาบ้างครับว่าสารสำคัญในขมิ้นชันแบบผงหรือแคปซูลธรรมดา ร่างกายอาจจะดูดซึมไปใช้ได้ไม่เต็มที่เท่าแบบสกัดพิเศษ แต่ผมก็ไปเจอข้อมูลที่น่าสนใจครับว่า การทานขมิ้นชันร่วมกับ พริกไทยดำ (ที่มีสารชื่อ ไปเปอรีน) มันสามารถช่วยเพิ่มการดูดซึมสารสำคัญในขมิ้นชันเข้าสู่ร่างกายได้หลายเท่าเลยทีเดียว ดังนั้น เวลาเลือกซื้อขมิ้นชันแคปซูล ผมก็จะมองหา สูตรที่มีส่วนผสมของพริกไทยดำ ด้วยครับ หรือถ้าไม่มี ผมก็จะทานพริกไทยดำเสริมเข้าไปเล็กน้อยพร้อมๆ กัน (แต่ต้องระวังสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องกระเพาะอาหารนะครับ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน) ถึงแม้จะไม่ใช่สูตรสกัดพิเศษราคาแพง แต่การเพิ่มตัวช่วยดูดซึมแบบนี้ ก็ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้รับประโยชน์จากขมิ้นชันได้ดีขึ้นครับ
วิธีทาน และ ระยะเวลา โดยทั่วไปผมจะทานตามที่ฉลากแนะนำครับ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้ทานหลังอาหาร ประมาณ 1-2 แคปซูล วันละ 2-3 ครั้ง (ต้องดูปริมาณต่อแคปซูลด้วยนะครับ) ส่วนเรื่องระยะเวลาเห็นผล สำหรับผม ผมรู้สึกว่าอาการอักเสบมันค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากทานต่อเนื่องไปประมาณ 1 อาทิตย์ ครับ มันไม่ใช่ยาแก้ปวดที่กินแล้วหายทันที แต่เป็นการค่อยๆ ปรับสมดุลจากข้างใน
การอ่านฉลาก และ ดูความคุ้มค่า เวลาเลือกซื้อ ผมจะดูที่ ปริมาณผงขมิ้นชันต่อแคปซูล และ ดูว่า มีส่วนผสมของพริกไทยดำ หรือสารช่วยดูดซึมอื่นๆ หรือเปล่า บางทีของที่ดูราคาถูกกว่า อาจจะมีปริมาณขมิ้นชันน้อยกว่า หรือไม่มีตัวช่วยดูดซึม ทำให้เราต้องกินหลายเม็ดกว่าจะได้ผลเท่ากับยี่ห้อที่อาจจะแพงกว่านิดหน่อยแต่มีส่วนผสมที่ดีกว่าครับ ของดีไม่จำเป็นต้องแพงที่สุดเสมอไป แต่ก็ต้องดูส่วนผสม และ ความเข้มข้นประกอบด้วยครับ อย่าดูแค่ราคาอย่างเดียว
ผลข้างเคียงที่อาจเจอ และ ข้อควรระวัง โดยทั่วไปขมิ้นชันค่อนข้างปลอดภัยครับ แต่บางคน (โดยเฉพาะถ้าทานเยอะๆ หรือท้องว่าง) อาจจะรู้สึก ไม่สบายท้อง ท้องอืด หรือท้องเสียได้บ้าง และ อย่างที่บอกคือ ต้องระวังเรื่องการใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด นะครับ ถ้ารู้สึกไม่สบาย หรือมีอาการผิดปกติอะไรหลังจากทาน ควรหยุดทานแล้วปรึกษาคุณหมอดูนะครับ
2. คอลลาเจนพิเศษสำหรับข้อ (คอลลาเจนชนิดที่สองแบบไม่ถูกทำลายโครงสร้าง)
ไม่ใช่คอลลาเจนบำรุงผิว แต่ดูแลข้อโดยเฉพาะ ตัวนี้เป็นนวัตกรรมที่ผมทึ่งมากครับ มันคือ คอลลาเจนชนิดที่สอง ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่อยู่ในกระดูกอ่อนข้อต่อของเรา และ ต้องเป็นแบบ ที่ไม่ถูกทำลายโครงสร้างตามธรรมชาติ ด้วยนะครับ
มันทำงานยังไง มันไม่ได้เข้าไป เติม คอลลาเจนครับ แต่มันทำงานกับระบบภูมิคุ้มกันของเรา โดยจะเข้าไป ปรับ ไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันของเรามาทำลายกระดูกอ่อนที่ข้อ ซึ่งกระบวนการทำลายนี้มักจะถูกกระตุ้นมากขึ้นเมื่อเกิดการอักเสบซ้ำๆ เหมือนที่เข่าผมเจอมาจากการวิ่งนั่นแหละครับ การทำงานแบบนี้จะช่วยลดการอักเสบจากต้นเหตุ และ ช่วยให้ข้อต่อฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
วิธีทาน และ ระยะเวลา จุดเด่นของตัวนี้คือทาน น้อยมาก ครับ ตามงานวิจัยส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทานเพียง วันละ 1 แคปซูลเล็กๆ (ประมาณ 40 มิลลิกรัมของส่วนผสมทั้งหมด ซึ่งจะมีคอลลาเจนชนิดที่สองจริงๆ ประมาณ 10 มิลลิกรัม) เท่านั้นเองครับ ส่วนใหญ่แนะนำให้ทานตอนท้องว่าง หรือก่อนนอน เพื่อให้การทำงานกับระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้ดีที่สุด สำหรับผม ผมเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น อาการเจ็บปวด ดูเหมือนจะ ลดลง หลังจากทานไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ ครับ แต่จะเห็นผลชัดเจนในการเคลื่อนไหวที่ลื่นขึ้นเมื่อทานต่อเนื่องไป 1 เดือน
การอ่านฉลาก และ ดูความคุ้มค่า สำคัญที่สุดคือต้องดูว่าเป็น Undenatured Type II Collagen หรือ คอลลาเจนชนิดที่สองที่ไม่ถูกทำลายโครงสร้าง จริงๆ ครับ และ ดู ปริมาณต่อแคปซูล ให้ได้ประมาณ 40 มิลลิกรัมตามที่แนะนำ อย่าสับสนกับคอลลาเจนเปปไทด์ทั่วไปที่ต้องกินเป็นกรัมๆ นะครับ ตัวนี้ถึงแม้ราคาต่อกระปุกอาจจะดูสูง แต่พอกินแค่วันละเม็ด มันก็ถือว่า คุ้มค่า ในระยะยาวครับ เพราะมันออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงกับปัญหาข้อเสื่อมได้ดี ของแพงบางทีก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป แต่ของที่ออกฤทธิ์ตรงจุด และ มีงานวิจัยรองรับชัดเจน แม้ราคาจะสูงกว่า แต่ถ้ามันแก้ปัญหาเราได้จริง ผมว่ามันก็สมเหตุสมผลครับ
ผลข้างเคียงที่อาจเจอ และ ข้อควรระวัง ตัวนี้ถือว่า ปลอดภัยมากครับ จากข้อมูลที่มีอยู่ ผลข้างเคียงพบน้อยมากๆ อาจจะมีบางคนที่รู้สึก ไม่สบายท้องเล็กน้อย ได้ แต่ก็น้อยจริงๆ ครับ แต่ถึงจะปลอดภัย ถ้าทานแล้วรู้สึกมีอาการผิดปกติอะไรที่ไม่เคยเป็น ก็ควรหยุดทานและปรึกษาคุณหมอไว้ก่อนดีที่สุดครับ
น้ำมันงาดำสกัดเย็น (เลือกจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และ กรรมวิธีที่รักษาคุณค่า)
3. งาดำ คุณค่าองค์รวมจากธรรมชาติ นอกจากขมิ้นชัน และ คอลลาเจนพิเศษแล้ว ผมก็เลือก น้ำมันงาดำสกัดเย็น มาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยครับ เพราะงาดำมีชื่อเสียงเรื่องบำรุงกระดูก และ มีสารอาหารดีๆ เยอะ
น้ำมันงาดำสกัดเย็น ช่วยผมยังไง ผมพบว่าในน้ำมันงาดำที่สกัดด้วยวิธี สกัดเย็น (คือไม่ใช้ความร้อนสูง) มันจะยังคงรักษาคุณค่าของสารอาหารสำคัญไว้ได้เยอะครับ ทั้ง สารอาหารพิเศษในงาดำ (เช่น เซซามิน และ สารกลุ่มลิกแนนอื่นๆ) ซึ่งมีงานวิจัยบอกว่าช่วย ลดการอักเสบ และ เป็น สารต้านความเสื่อมของเซลล์ ที่ดีเยี่ยม แถมยังมี ไขมันดี และ วิตามินแร่ธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายโดยรวมด้วย
วิธีทาน และ ระยะเวลา ผมทานตามฉลากแนะนำครับ ส่วนใหญ่จะเป็น 2-3 แคปซูลต่อวัน พร้อมอาหารหรือหลังอาหาร สำหรับน้ำมันงาดำ ผมมองว่าเป็นการบำรุงระยะยาวครับ อาจจะไม่ได้เห็นผลเรื่องลดปวดชัดเจนเท่าขมิ้นชันในระยะสั้น แต่ผมรู้สึกว่าสุขภาพโดยรวม และ อาการอักเสบมันค่อยๆ ดีขึ้นหลังจากทานไป 1 อาทิตย์ ครับ
การอ่านฉลาก และ ดูความคุ้มค่า ผมจะดูที่ ปริมาณน้ำมันงาดำต่อแคปซูล (ส่วนใหญ่จะเป็น 500 หรือ 1000 มิลลิกรัม) และ สำคัญคือต้องมั่นใจว่าเป็น สกัดเย็น จริงๆ ครับ เพราะกรรมวิธีการสกัดมีผลต่อคุณค่าสารอาหารมาก บางยี่ห้ออาจจะระบุถึงแหล่งที่มาของงาดำ หรือมีมาตรฐานการผลิตที่ดี ก็น่าสนใจครับ เรื่องราคา ผมคิดว่าน้ำมันงาดำสกัดเย็นคุณภาพดี ราคามักจะสมเหตุสมผลครับ ไม่ได้แพงเว่อร์วัง แต่ก็ไม่ควรถูกจนน่าสงสัยว่าจะใช่สกัดเย็นแท้หรือเปล่า
ผลข้างเคียงที่อาจเจอ และ ข้อควรระวัง น้ำมันงาดำก็ค่อนข้างปลอดภัยครับ แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือ อาการแพ้ เพราะงาเป็นสารก่อภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ใครที่รู้ตัวว่าแพ้งาหรือถั่ว ควรหลีกเลี่ยงเลยครับ บางคนอาจมีอาการ แน่นท้องเล็กน้อย ได้บ้าง และ ต้อง ระวังการใช้ร่วมกับยาลดความดัน หรือยาลดน้ำตาลในเลือด ด้วยนะครับ ถ้ามีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน หายใจลำบาก หรือผลข้างเคียงอื่นๆ ต้องหยุดทานทันทีแล้วรีบไปหาหมอเลยครับ
ทำไม 3 ตัวนี้ถึงน่าสนใจ เมื่อใช้ร่วมกัน และ จำเป็นไหมต้องทานครบทั้ง 3 ตัว
ผมมองว่าการทานทั้ง 3 ตัวนี้ร่วมกันมันเหมือนเป็นการ เสริมทัพ ให้กัน และ กันครับ
- ขมิ้นชัน + น้ำมันงาดำ ช่วยกัน ลดการอักเสบ จากหลายๆ กลไก และ ต้านความเสื่อม
- คอลลาเจนพิเศษสำหรับข้อ เข้าไป ปรับสมดุล การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่อาจจะมาทำลายข้อ และ ช่วยให้ข้อฟื้นตัว
เหมือนเรามีทั้งทัพหน้าคอยดับไฟ (ลดอักเสบ) และ ทัพหลังคอยซ่อมบำรุง และ ป้องกัน (บำรุงข้อ ปรับภูมิคุ้มกัน) ไปพร้อมๆ กันครับ
แต่ถามว่าจำเป็นต้องทานครบทั้ง 3 ตัวเลยไหม ผมคิดว่า ไม่จำเป็นเสมอไปครับ มันขึ้นอยู่กับ อาการ และ ความรุนแรง ของแต่ละคนมากกว่า รวมถึง งบประมาณ ด้วยครับ
- ถ้าอาการปวด และ การอักเสบเป็นปัญหาหลัก อาจจะเน้นไปที่ ขมิ้นชัน หรือ น้ำมันงาดำ ก่อนก็ได้ครับ เพราะสองตัวนี้เด่นเรื่องลดการอักเสบโดยตรง
- ถ้าเน้นเรื่องการฟื้นฟูกระดูกอ่อน หรือมีปัญหาข้อเสื่อมชัดเจน คอลลาเจนพิเศษสำหรับข้อ (ชนิดที่สอง) ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะมันทำงานกับกลไกที่เฉพาะเจาะจงกับข้อเสื่อม
- ถ้าอยากดูแลแบบองค์รวมและมีงบประมาณ การทานทั้ง 3 ตัวร่วมกัน ก็น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดี และ ครอบคลุมกลไกต่างๆ ได้มากที่สุดครับ
การเลือกทานแค่บางตัวจะเห็นผลไหม ผมเชื่อว่า เห็นผลได้ครับ แต่อาจจะเห็นผลในด้านที่แตกต่างกันไปตามคุณสมบัติของแต่ละตัว เช่น ทานขมิ้นชันอาจจะรู้สึกว่าอาการปวดอักเสบลดลงเร็วหน่อย ทานคอลลาเจนพิเศษอาจจะรู้สึกว่าข้อลื่นขึ้นในระยะยาว การเลือกทานตัวไหน หรือกี่ตัว ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินอาการของตัวเอง และ ทางที่ดีที่สุดคือ ปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกร เพื่อให้ท่านช่วยแนะนำแนวทางที่เหมาะสมกับเราที่สุดครับ
แล้วถ้าปวดเข่า ปวดข้อ จากสาเหตุอื่นล่ะ 3 ตัวนี้จะช่วยได้ไหม
ทีนี้อาจจะมีคำถามนะครับว่า แล้วถ้าฉันปวดเข่าเพราะอายุมากขึ้นล่ะ หรือเพราะน้ำในข้อมันน้อยลง หรือข้อเสื่อมตามวัย ไม่ได้เกิดจากน้ำหนักเยอะแล้วไปวิ่งผิดวิธีเหมือนคุณวี 3 ตัวนี้มันจะยังช่วยได้อยู่ไหม
จากข้อมูลที่ผมศึกษามา ผมคิดว่า มีโอกาสช่วยได้ครับ เพราะถึงแม้สาเหตุเริ่มต้นของอาการปวดอาจจะต่างกัน แต่ กลไก ที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด และ ความเสื่อมในข้อต่อ มันมักจะหนีไม่พ้นเรื่อง การอักเสบ และ การเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน ครับ ซึ่ง 3 ผู้ช่วยธรรมชาติ ที่ผมเลือกมานี้ มันเข้าไปช่วยจัดการที่กลไกหลักๆ เหล่านี้พอดีครับ
ขมิ้นชัน (แบบแคปซูล) และ น้ำมันงาดำสกัดเย็น สองตัวนี้เด่นเรื่อง ลดการอักเสบ และ ต้านความเสื่อมของเซลล์ (ต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งการอักเสบ และ ความเสื่อมเนี่ย มันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในผู้ที่มีอายุมากขึ้น หรือมีภาวะข้อเสื่อมจากสาเหตุต่างๆ ไม่ใช่แค่จากการใช้งานหนักอย่างเดียว ดังนั้น การเข้าไปช่วยลดการอักเสบ ก็เหมือนกับการเข้าไปช่วยดับไฟที่กำลังลุกไหม้ในข้อของเรา ทำให้ความเจ็บปวดลดลง และชะลอความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้ครับ นอกจากนี้ น้ำมันงาดำยังมีสารอาหารองค์รวมที่ช่วยบำรุงข้อต่อได้ด้วย
คอลลาเจนพิเศษสำหรับข้อ (ชนิดที่สองแบบไม่ถูกทำลายโครงสร้าง) ตัวนี้ทำงานกับ ระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งในภาวะข้อเสื่อมหรือข้ออักเสบบางชนิด ระบบภูมิคุ้มกันของเราอาจจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำลายกระดูกอ่อนได้ การใช้คอลลาเจนพิเศษตัวนี้เข้าไป ปรับ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติมากขึ้น ก็อาจจะช่วยลดการทำลายข้อจากสาเหตุนี้ได้ครับ
ส่วนเรื่อง น้ำในข้อน้อย จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 ตัวนี้อาจจะไม่ได้เข้าไป เติม น้ำในข้อโดยตรงนะครับ แต่การที่มันช่วย ลดการอักเสบ ในข้อลงได้ มันก็เหมือนกับการช่วยปรับสภาพแวดล้อมในข้อให้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ร่างกายสามารถดูแลรักษาสมดุลของน้ำหล่อเลี้ยงข้อได้ดีขึ้นตามไปด้วยครับ
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าอาการปวดเข่า ปวดข้อของคุณจะเกิดจากอายุที่มากขึ้น การใช้งาน การเสื่อมตามวัย หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบหรือความเสียหายต่อกระดูกอ่อน การทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติทั้ง 3 ชนิดนี้ ก็ มีหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าอาจจะช่วยบรรเทาอาการ และ ดูแลสุขภาพข้อในระยะยาวได้ เพราะมันเข้าไปจัดการที่กลไกสำคัญของปัญหานั่นเองครับ
ก้าวต่อไปของผม • ฟื้นฟูเข่า และ กลับมาสุขภาพดีอย่างปลอดภัย
หลังจากที่ผมได้ดูแลตัวเองด้วย ผู้ช่วยจากธรรมชาติ ทั้ง 3 ชนิดนี้ ควบคู่ไปกับการ ปรับเปลี่ยนการออกกำลังกาย (ผมหันไปปั่นจักรยานแทนการวิ่ง ซึ่งกระทบเข่าน้อยกว่ามาก) และ ควบคุมอาหารอย่างจริงจัง เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกิน ตอนนี้อาการปวดเข่าอักเสบของผมดีขึ้นมากจนเป็นปกติแล้วครับ ผมกลับมาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้น ใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายขึ้น และ มีความสุขมากขึ้นเยอะเลยครับ
ผมเข้าใจหัวอกของคนที่อยากจะลดน้ำหนัก อยากจะสุขภาพดี แต่กลับต้องมาเจ็บปวดเพราะการออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย หรือคนที่มีปัญหาปวดเข่าปวดข้อจากสาเหตุอื่นๆ นะครับ มันทรมานและบั่นทอนกำลังใจจริงๆ
ผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจให้ทุกท่านนะครับ ลองศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ 3 พลังธรรมชาติที่ผมแนะนำดูครับ